Cloud computing
ผู้เขียนตั้งธงบทความ หัวข้อ Cloud computing ตั้งแต่ วันที่ 12 เดือน ธันวาคม 2010 นับถึงวันนี้ ที่ได้เขียนจริงๆก็เป็นเวลา 4 เดือน ในการหา และเตรียมข้อมูล เพราะว่า ถ้าแค่พอรู้ ไม่กล้าเขียนครับ ต้องรู้จักมันจริงๆ เคยใช้ เคยเล่นมันก่อน ถึงจะนำมาเรียงร้อยถ้อยคำ ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ พร้อมเรื่องราวและตัวอย่างออกมาให้ท่านผู้เขียนได้อ่าน ได้ทราบได้รู้ มันก็สนุกดีนะครับ เหมือนกับทำงานวิจัย แล้วก็ทำรายงาน ไม่มีที่สิ้นสุดครับ ตราบใดที่ผู้อ่านยังติดตาม ครับนี่ก็ปีใหม่ไทยพอดี ขอให้คนไทยในต่างแดน มีความสุขมากๆกับปีใหม่ไทย ผู้เขียนคิดว่า คนไทยที่นี่น่าจะมีความสุข กว่าคนไทยที่มีหลากหลายสี นะครับ
ครั้งแรก ได้ยินคำว่า Cloud ก็นึกถึงก้อนเมฆ แปลแบบตรงๆก็ระบบคอมพิวเตอร์บนก้อนเมฆ แล้วมันก็จริงๆอย่างที่คิดจนได้ จากการที่ได้ติดตามข่าวสาร ทั้งไทยและเทศ ในการอ่านข่าว ก็ถึงบางอ้อ ของคำว่า Cloud computing
Defining of Cloud ในหนังสือ Cloud computing for Dummies by Judith Hurwitz ,Robin Bloor, Marcia Kaufman ,Fern Halper ลองถอดความออกมาเป็นภาษาไทย ความว่า เป็นระบบของคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ เครือข่าย บริการ ที่ส่งถึงผู้ใช้บริการผ่านอินเตอร์เน็ต ตามความต้องการของผู้ใช้ (user demand)
พอเข้าเค้าแล้วมั๊ยครับท่านผู้อ่าน ท่านผู้อ่านก็ใช้งานกันอยู่แล้ว ผู้เขียนก็ใช้งานอยู่แล้ว ไอ้ระบบคราวน์อะไรเนี่ย ระบบที่ทำงานบนก้อนเมฆ ยิ่งมาเจอรูปภาพจาก wikipedia.org ยิ่งชัดเจนไปกันใหญ่ เป็นรูปภาพ ที่เชื่อมระหว่าง google ,amazon,yahoo ,salesforce ฯ ภาษาอังกฤษเค้าอธิบายตามด้านล่างนี้
Diagram showing overview of cloud computing including Google, Salesforce, Amazon, Axios Systems, Microsoft, Yahoo & Zoho 3 March 2009 Created by Sam Johnston using OminGroup's OmniGraffle and Inkscape
ชัดมากขึ้นแล้วใช่มั๊ยครับท่านผู้อ่านว่า Cloud computing คืออะไร ???
มันก็คือระบบที่ท่านเล่น ที่ท่านเช็คอีเมล์ google ,hotmail ,yahoo นี่แหละ คือ Cloud computing ฝรั่งก็พยายามจะบัญญัติศัพท์ออกมา เรียกว่าหาที่ยืนของตัวเอง หาจุดขายของตัวเอง ให้คำๆหนึ่ง มันฮิตแทนความหมายของหลายๆคำ หรือของหลายๆประโยค มันทำให้เข้าใจง่าย ในการจดจำแล้วก็ทำตลาด ตามมาด้วย salesforce (salesforce.com) ผู้นำระบบ Crm online ซึ่งเวบไซด์นี้ผู้เขียนก็รู้จักมานานแล้ว เป็นเวบที่ใช้เก็บข้อมูลลูกค้า เก็บประวัติ เป็นซอฟต์แวร์ที่ท่านเข้าไปใช้งานได้เลย แค่มีอินเตอร์เน็ต เค้าเก็บค่าใช้บริการเป็นรายเดือน เราไม่ต้องมีที่เก็บข้อมูล เก็บที่เค้า เข้าเน็ตได้ก็เล่นระบบเค้าได้ มีแค่ user and password ก็พอแล้ว
แล้วยังไงต่อไป
ผู้เขียนมองว่า กลุ่มผู้ให้บริการต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งเก่าและใหม่ ไล่ตั้งแต่ hotmail yahoo google amazon salesforce พยายามที่จะรวมตัวกันทำตลาด ให้คนมาใช้ระบบงานต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อแย่งตลาดออฟไลน์ เรียกว่ากลุ่มใช้งานออนไลน์ ก็ต้องการแย่งตลาดของกลุ่มออฟไลน์ ซึ่งก็ไม่ง่าย เพราะว่า เราไม่ได้ทำงานออนไลน์ทุกเวลา จะเห็นความพยายามของ google ที่มีบริการหลากหลายบนอินเตอร์เน็ต ออกมาให้ใช้ เสมือนกับทำงานออฟไลน์ เช่น google calendar ,google doc (document) นี่ก็ระบบคล้ายๆ word processing ของไมโครซอฟต์ หรือแม้กระทั่งไมโครซอฟต์ ก็ทำ windowlive คือพยายามยกสินค้าของตัวเอง จากออฟไลน์ ขึ้นไปออนไลน์ ทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็นการแข่งขันกันบริการ แย่งชิงฐานลูกค้า ไม่มีใครยอมให้ใครครับ
Cloud computing กับคนไทย
ท่านผู้อ่านลองคิดดูนะครับ ระบบนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเราแค่เปิดเครื่อง ต่อเน็ต แล้วก็ทำงานเลย ทุกอย่างไปฝากเค้าไว้ ข้อมูลทั้งหมดของเราอยู่ที่เค้า เรามีแค่ตัว media หรือแค่ตัวเชื่อม หรืออุปกรณ์เชื่อม เข้าเน็ตเท่านั้น เป็นไงครับ ข้อมูลของเราสำคัญ หรือไม่สำคัญต้องอยู่ที่บริษัทที่เราไปใช้บริการ เชื่อหรือครับว่า คนที่ให้บริการจะไม่เอาข้อมูลเราไปใช้ เชื่อหรือครับ ว่าเค้าจะไม่เข้าไปดูข้อมูลของเรา ผู้เขียนยังลองจินตนาการเลยนะครับ สมมติว่า google ลอง search คำซักคำหนึ่ง ที่เค้าต้องการรู้ ไปที่ฐานข้อมูลของเค้า ที่คนใช้เก็บข้อมูลอีเมล์ต่างๆที่ใช้บริการของเค้า google จะสามารถ รู้เลยว่า เรื่องนั้นๆที่ต้องการหา อยู่ที่ไหน อยู่ที่ประเทศไหน เรียกว่า google รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร นี่ไม่ได้มองในแง่จรรยาบรรณนะครับ เราอาจจะคิดมากไปหรือเปล่า แต่ไม่คิดก็คงไม่ได้ ยิ่งเป็นข้อมูลทางธุรกิจ ก็ต้องเก็บที่บริษัทของใครของมัน มันเป็นความลับที่ไม่ใช่จะเปิดเผย หรือไปฝากใครเก็บ แล้วถ้ามันหายไปใครรับผิดชอบ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าองค์กรใช้ระบบเก็บข้อมูลลูกค้าของ salesforce.com สักวันหนึ่งลูกค้าที่เคยซื้อของอยู่ กลับไม่ซื้อของเรา ไปซื้อของคู่แข่ง เออ อย่างนี้จะไปโทษใคร ถ้าข้อมูลอยู่ที่เราอย่างน้อยก็มั่นใจว่า ไม่มีใครเจาะความลับเราไปได้ แต่ถ้าข้อมูลมันไม่ได้อยู่ที่เรา กล้าหรือครับ ขณะนี้การใช้งานต่างๆผู้เขียนยังต้องระวังเลยว่า อะไรมันเล็ดลอด ไปขึ้นบนเน็ตบ้าง บางครั้งไปเขียนเรื่องราวต่างๆส่วนตัวบนเน็ต บนblogต่างๆแล้วเพิ่งมานึกได้ ก็ต้องเข้าไปแก้ไขกันยกใหญ่ว่า ไม่ให้แสดงเป็นสาธารณะ ไม่งั้นก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว
ครับท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณากันให้ดีครับระหว่างความเป็นส่วนตัว กับสาธารณะ การใช้งานอะไรที่เก็บเป็นส่วนตัว การใช้งานอะไรที่เป็นสาธารณะ ทุกวันนี้ บางทีอินเตอร์เน็ต ทำให้ความเป็นส่วนตัวเราน้อยลงหรือเปล่า มันวุ่นวายไปหมด ใครไม่รู้ติดต่อเรา มายังไง มองในด้านความสะดวก สบาย ในการใช้งาน Cloud computing นะดีแน่ แต่มองในแง่ความปลอดภัย ความลับทางการค้า ความเป็นส่วนตัว ถึงยังไงระบบปิด หรือระบบที่การเก็บข้อมูลอยู่ที่เราผู้เขียนก็คิดว่ายังสำคัญอยู่ เพราะถึงอย่างไร เหรียญ มันก็มีสองด้านครับ